พระนเรศวร

สมเด็จพระนเรศวรกับการวิปัสสนากรรมฐาน

                   วิปัสสนากรรมฐานจะเกิดปัญญารู้ดีชั่ว เห็นทุกสิ่งอย่างตามความเป็นจริง การบรรลุธรรมขั้นนี้เรียกว่า “สัปปุริสธรรม ๗” คือรู้เหตุผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้ชุมชนและรู้บุคคล เมื่อมีการบรรลุญาณขั้นสูง จะพบว่า ความโกรธ ความโลภ ความหลง หายไปจากใจได้อย่างอัศจรรย์ เพราะ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือตัวการทำให้เราไม่เห็นตัวตน หลงตัวเอง จนมองข้ามสิ่งที่ผิด

พระนเรศวร
                     สมเด็จพระนเรศวรได้รับการฝึกฝนทางจิตจากพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐานที่เคร่งครัด พระอาจารย์เดียวกันกับพระเจ้าบุเรงนอง(เคยมีคนถามว่าจริงหรือที่ท่านจะสอนวิชาให้กับศัตรู แต่ถ้าหากใครที่ศึกษาสายพระอาจารย์ที่มีญาณสูงๆจะพบว่าจะทรงมีเมตตามาก ตัดเรื่องทางโลกออก และบางครั้งท่านเห็นแล้วซึ่งอนาคต ท่านจะเตือนหรือไม่ขึ้นกับสภาวะของกรรมของแต่ละคน) ในสมัยก่อนกษัตริย์พม่า ต้องมีพระอาจารย์ประจำพระองค์และต้องเป็นสายวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น หลักขณิกสมาธิเมื่อผู้ฝึกสมาธิจิตจนถึงขั้นนี้จะสามารถเห็นความเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้แบบสโลโมชั่น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมเด็จพระนเรศวรจะทรงหลบลูกธนูได้ทุกครั้ง หลบของ้าวหรือมีดาบที่กำลังฟันมาทางพระองค์ได้ ไม่ใช้ว่าพระองค์มีอิทธิฤทธิ์แต่เพราะความไหวของสติสมาธิจิตของพระองค์เอง ซึ่งหลักขณิกสมาธินี้เคยมีผู้นำมาปรับใช้คือท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลินและเป็นผู้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศจีน วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงมากในการใช้วิทยายุทธ์เพราะท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ได้ประยุกต์ขณิกสมาธิแบบสติปัฏฐาน ๔ ในหมวดอิริยาบถให้เป็นท่าต่างๆขึ้นมาเพื่อฝึกสมาธิและออกกำลังกายไปด้วยกัน วรยุทธ์และวิชากำลังภายในของวัดเส้าหลินได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดวิชาที่สุดในยุทธภพ สามารถต่อสู้กับคนที่กำลังรุมพร้อมๆกันได้ถึงสิบแปดคน คล้ายเพลงดาบอาทมาฏ ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่พระองค์ใช้สู้ในศึกสงครามสามารถสู้กับคู่ต่อสู้ได้๑ ต่อ ๗ (โดยทางเราจะนำมาเผยแพร่ในการต่อไป) ความจริงวัดเส้าหลินต้องการมีไว้เพื่อสุขภาพและกลับเป็นสุดยอดวิชายุทธ์เพราะทุกขบวนท่าไม่ว่า วูซู ไทเก๊ก มวยจีน ฯลฯ ส่วนใหญ่อาศัยจิตเป็นที่ตั้งพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายซึ่งจิตที่นิ่งและไวที่สุด ก็คือจิตที่ฝึกตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่สมถกรรมฐานอย่างที่จอมยุทธ์ยุคก่อนหน้าเส้าหลินปฎิบัติกัน
เหตุการณ์ที่พิสูจน์ความว่องไวจากการฝึกขณิกสมาธิของพระองค์อย่างชัดเจน คือตอนที่พระนเรศวรท่านถูกลักไวทำมูรุมล้อม ทหารนับร้อย สมเด็จพระนเรศวรพระองค์เดียว แต่ทหารพม่าก็ทำอะไรพระองค์ไม่ได้ จนลักไวทำมูทนไม่ไหวต้องขี่ม้ามาจับกุมด้วยตัวเองแต่ก็พลาดถูกสมเด็จพระนเรศวรทรงแทงด้วยพระแสงทวนแทงจนลักไวทำมูเสียชีวิตไป
สมเด็จพระนเรศวรยังทรงให้ทหารในหน่วยที่ใกล้ชิคพระองค์นั่งสมาธิฝึกด้วย จนทหารเหล่านั้นน่าจะฝึกให้ถึงขั้นบรรลุขณิกสมาธิเช่นเดียวกัน ว่ากันว่าทหารหน่วยที่ขึ้นตรงกับพระองค์ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้ แม้ถูกรุมทำร้ายจากข้าศึกจนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ทหารพม่าว่าทหารของพระองค์มีคาถาอาคมอยู่ยงคงกระพัน ความจริงเป็นความไวของสมาธิมากกว่า สิ่งที่สร้างแรงขับภายในได้คือสมาธิจิต อย่างที่เราทราบจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว และเพราะสมาธิจิตนี่เองพระสุบินและพระนิมิตของพระนเรศวรที่ทำให้พระองค์ ทรงล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหลายครั้งผ่านทางพระสุบินจิตไรสึกนึกเป็นส่วนที่อยู่เหนือกาลเวลา ดังนั้นการฝันในระดับลึกบางครั้งก็สามารถบ่งบอกถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างมหัศจรรย์

          สมเด็จพระนเรศวรทรงตัดกิเลสด้านกามฉันทะ ซึ่งเป็นฉันทะที่รุนแรงมากจนเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จทั้งปวง พระองค์ทรงมีความรักชาติมากกว่า ทรงสนพระทัยเรื่องกู้ชาติและพอพระทัยที่จะต่อสู้เพื่อเอกราช ดังนั้นเมื่อแน่พระทัยทรงประกาสอิสรภาพทันทีที่เมืองแครง

Posted in สาระพันเรื่องเล่า.

Leave a Reply

Your email address will not be published.