เรือไทยโบราณ

กรุงศรีอยุธยาติดอันดับเมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก

      วันนี้ขอนำเสนอข้อมูลที่ทำให้คนไทยอย่างเราภาคภูมิใจกับอารยธรรมชาติไทยที่บรรพบุรุษท่านได้สั่งสมเอาไว้อย่างยาวนาน เพราะเมื่อเร็วๆนี้นักประวัติศาสตร์
ชาวต่างประเทศชื่อดัง ที่ได้เคยศึกษาและมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากสถานที่ต่างๆ รวมถึงศึกษาวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา ๕,๐๐๐ ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช ๓,๐๐๐ ปี จนถึง ปี ค.ศ.๒,๐๐๐ โดยสรุปอันดับเมืองใหญ่ ในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งกรุงศรีอยธุยาได้รับการจัดอันดับในครั้งนี้ด้วยแผนที่อยุธยา

เมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก

       ๑. เจริโค (Jericho) ใหญ่ที่สุดของโลกในยุค ๗,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง ๒,๐๐๐ คน ตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงกับภูเขานีโบ

(Mt Nebo) เป็นโอเอซิสใหญ่ที่สุด ใช้น้ำจากแม่น้ำจอร์แดน ในคัมภีร์ไบเบิลเก่าบันทึกเอาไว้ว่า เจริโคเป็น “เมืองแห่งต้นปาล์ม” อยู่กันต่อมาอีกหลายยุค และเสื่อมไปกับกาลเวลา

       ๒. อูรุค (Uruk) ใหญ่ที่สุดในยุค ๓,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล พลเมือง ๔,๐๐๐ คนเป็นเมืองหลวงของแคว้นกิลกาเมช (Gilgamesh) ในมหากาพย์ และเชื่อกันว่าคือเมืองเอเร็ค (Erech) ทีสร้างโดยกษัตริย์นิมรอด (King Nimrod) ในคัมภีร์ไบเบิล อยู่ใกล้แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ศูนย์กลางการเกษตรและการค้า สงครามในภูมิภาคที่เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐๐๐ BC ยืดเยื้อข้ามศตวรรษ ต่อมา เมืองอูรุคถูกทิ้งให้ร้างไปในยุคก่อนที่ฝ่ายอิสลามเข้าครอบครอง

   ๓. มาริ (Mari) เมืองหลวงแคว้นเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ในยุค ๒๐๐๐ BC ประชากร ๕๐,๐๐๐ ในยุคของกษัตริย์สุเมเรียน (Sumarite) หลายพระองค์ ก่อนเข้าสูยุคอาโมเรียน (Amorite) มีการสร้างพระราชวังขนาด ๓๐๐ ห้อง ล่มสลายลงใน๑๗๕๙ BC ถูกยึดรองโดยกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) แห่งบาบีลอน ในทศวรรษที่ ๑๙๓๐ นักโบราณคดีฝรั่งเศสค้นพบจารึกภาษาสุเมเรียน๒๕,๐๐๐ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเมือง และเศรษฐกิจ จารึกนี้ทำให้คนรุ่นปัจจุบันรู้จักสภาพการณ์ในยุคนั้น

       ๔. อูร์ (Ur) เป็นเมืองท่าสำคัญในอ่าวเปอร์เซียในยุค๒๑๐๐  ก่อนคริสตกาล ประชากร ๑๐๐,๐๐๐ คน ค้าขายกับทั่วโลก ราว ๕๐๐ BC ถูกทิ้งเป็นเมืองร้างเพราะภัยแล้งที่เกิดจากแม่น้ำที่เปลี่ยนทิศทางไหล แต่ยังเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อมา การขุดค้นในทศวรรษ ๑๘๕๐ พบซากมนุษย์จำนวนมาก เป็น “เมืองแห่งคนตาย” (City of the Dead) หรือนีโครโพลิส (Necropolis)

        ๕. หยินซู (Yinxu) รุ่งเรืองในช่วง ๑๓๐๐ BC ประชากร ๑๒๐,๐๐๐ คน เติบโตจากหมู่บ้านเล็กๆ ในอาณาจักรจีนโบราณ เป็นแหล่งที่ค้นพบจารึกบนกระดูกสัตว์ที่เรียกว่า ออราเคิลโบน (Oracle Bone) จำนวนมาก เขียนด้วยอักษรจีนโบราณ เมืองทรุดโทรมลง และถูกทอดทิ้งในสมัยราชวงศ์โจว (Zhou Dynasty)

       ๖. บาบีลอน (Babylon) รุ่งเรืองสุดขีดในช่วง ๗๐๐BC พลเมือง๑๐๐,๐๐ เป็นศูนย์กลางความร่ำรวยแห่งยุคสมัย กษัตริย์ทรงอำนาจ และอิทธิพล เป็นแหล่งของสวนลอยบาบีลอน กับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเอาไว้ว่า ชาวบาบีลอนเชื่อมั่นในพระเจ้า และพยายามปีนป่ายไปสู่สวรรค์ ราว ๕๓๘BC กษัตริย์ไซรัส (Cyrus) แห่เปอร์เซียยาตราทัพทวนแม่น้ำยูเฟรติสเข้าตี ปล้นสะดมบาบีลอนจนแหลกคามือ

       ๗. คาร์เถจ (Carthage) รุ่งเรืองโดดเด่นในปี ๓๐๐BC พลเมือง ๑๐๐,๐๐๐ได้ชื่อเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ก่อนที่จะถูกกองทัพโรมันที่เหนือกว่าเข้าโจมตี และเผาจนวายวอด และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อ ๑๔๖ปีก่อนคริสตกาล

        ๘. โรม (Rome) ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี ค.ศ.๒๐๐ ประชากร ๑,๒๐๐,๐๐๐ คน เลี้ยงดูชาวเมืองด้วยอาหารจากยุโรป และรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในรูปภาษี ชีวิตอันสุขสบายของชาวโรมันสะท้อนได้ดีมากในภาพยนตร์ เช่น แกลดิเอเตอร์ (Gladiator) ที่นำแสดงโดย รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) กับวาวควีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) แต่ปี ค.ศ.273 โรมเหลือประชากรอยู่ราว 500,000 เริ่มเข้าสู่ยุคมืด (Dark Age)

       ๙. คอนสแตนนิโนเปิล (Constantinople) เจริญสุดขีดในปี ค.ศ.๖๐๐ ประชากร๖๐๐,๐๐๐ คน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลในยุคของจักรพรรดิฟลาวีอุส เฮราคลีอุส ออกัสตัส (Flavius Heraclius Augustus) สงครามเปอร์เซียปี๖๑๘ทำให้การส่งอาหาร และพืชผลการเกษตรจากอียิปต์หยุดชะงัก พลเมืองเริ่มอดอยาก และเหลือเพียงประมาณ ๑ ใน ๑๐ของจำนวนเมื่อ ๑๘ ปีก่อนหน้านั้น

      ๑๐. แบกแดด (Bagdad) ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในปี ค.ศ.๙๐๐ประชากร ๙๐๐,๐๐๐ คน ได้ชื่อเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางของศิลปะ และวิทยาการหลายแขนงที่โลกอิสลามใช้มาจนถึงยุคปัจจุบัน แบกแดดเฟื่องฟูอยู่ ๓๐๐ ปีเศษ ก่อนจะถูกกองทัพมองโกลรุกราน และถูกตีย่อยยับลงในปี ๑๒๕๐

       ๑๑. ไคเฟิง (Kaifeng) เป็นเมืองใหญ่มากใน ค.ศ.๑๒๐๐ ประชากร๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ตัวเมืองป้องกันแน่นหนาด้วยกำแพงถึง ๓ ชั้น แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของมองโกลในการศึกที่ยืดเยื้อ ๓๐ปีเศษ และปี ๑๒๓๔ ไคเฟิงก็แตกพ่าย ราษฎรหลบหนีไปคนละทิศละทาง ที่นี่ยังมีชุมชนชาวยิวโบราณใหญ่โตที่สุดในจีนอีกด้วย



       ๑๒. ปักกิ่ง โดดเด่นมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๕๐๐ ประชากร ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ใหญ่โตที่สุดในยุค แต่แพ้ภัยตัวเองเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่มากมายได้ ราษฎรบุกถางป่าตัดไม้ทำบ้านเรือนที่อาศัย และเผาถ่านเป็นเชื้อเพลิงจนโล่งเตียน ส่งผลกระทบด้านสภาพแวดล้อมสะท้านสะเทือนไปทั่วภูมิภาค

       ๑๓. กรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหลวงอาณาจักรสยามโบราณอยู่กว่า ๔๐๐ ปี แต่ขึ้นนำหน้าทุกเมืองในโลกในปี ค.ศ.๑๗๐๐(พ.ศ.๒๒๔๓) มีประชากร ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน เป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าสารพัดชนิด ทั้งจากชาวตะวันตกและชาวยุโรป อยุธยาได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็นเมืองที่อร่ามตาไปด้วยทองคำ และศิลปะที่สวยงาม แต่อยุธยาก็สิ้นสุดลง ด้วยภัยสงครามและคนไทยด้วยกันเอง

       ๑๔. ลอนดอน ใหญ่โตที่สุดในต้นศตวรรษที่ ๑๙ หรือปี ค.ศ.๑๘๒๕ ประชากร ๑,๓๓๕,๐๐๐คน ที่อยู่กันแออัดจนเกือบจะทุกย่านของเมืองหลวงมีสภาพเป็นสลัม อาชญากรรมลามเมือง ในปี ๑๘๒๙ รัฐบาลได้ตั้งกองกำลังตำรวจขึ้นอย่างเป็นทางการ ตั้งชื่อตามชื่อของนายกรัฐมนตรีโรเบิร์ต พีล (Robert Peel) ชาวอังกฤษเรียกตำรวจว่า “บ๊อบบี้ส์” (Bobbies) จนถึงทุกวันนี้

       ๑๕. นิวยอร์ก ในปี ๑๙๒๕ หรือต้นศตวรรษที่แล้วมีประชากรถึง ๗,๗๗๔,๐๐๐ คน เป็นมหานครที่มองสู่อนาคตอย่างแท้จริง เป็นแห่งแรกของโลกที่สร้างตึกระฟ้า ถึงแม้ว่าจะเจอสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี๑๙๒๙แต่การก่อสร้างอาคารสูง เช่น ไครสเลอร์ เอ็มไพร์สเตท ลินคอล์น และอาคารวันวอลสตรีท ฯลฯ ก็ยังดำเนินต่อไป

       ๑๖. โตเกียว ใน ๑๙๖๘ (พ.ศ.๒๕๑๑) เมืองหลวงของญี่ปุ่นมีประชากรถึง ๒๐,๕๐๐,๐๐๐ คน ไม่เคยมีที่ไหนประวัติศาสตร์โลก แต่เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองสุดขีด ระหว่างปี ๑๙๕๓-๑๙๙๐ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจยุคหลังสงครามโชติช่วงมากที่สุด ญี่ปุ่นสร้างสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ออกสู่ตลาดโลกมากมายหลายชนิด.

 

 

              เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอยุธยาในอดีตกันแล้ว ก่อนนั้นกรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่อันดับ ๑ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่มีเมืองไหนที่จะสามารถเทียบได้ ที่กรุงศรีอยุธยาในยุคนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด เป็นแหล่งค้าขายระหว่างประเทศ เป็นแหล่งวิวัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมอันหลากหลาย

นักประวัติศาสตร์อิสระนามว่า     เทอร์เทียส แชนดเลอร์ (Tertius Chandler, 2458-2543)  ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์โลกแนวก้าวหน้า ได้เคยศึกษาและมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณจากสถานที่ต่างๆ เอาไว้ในหนังสือ Four Thousand Years of Urban Growth ที่มีชื่อเสียงของเขา หนังสือเล่มนี้มีตีพิมพ์ขึ้นในปี ๒๕๓๐

อีกท่านหนึ่งคือ ศ.จอร์จ โมเดลสกี (George Modelski) แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ได้ศึกษาเรื่องนี้มานาน และเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือ World City -๓๐๐๐ to ๒๐๐๐ โดยมีเรื่องราวการวิวัฒน์ของเมืองต่างๆ ทั่วโลกในระยะเวลา ๕,๐๐๐ ปี คือ จากช่วงก่อนคริสต์ศักราช ๓,๐๐๐ ปี จนถึง ปี ค.ศ.๒,๐๐๐

แต่ยังไม่เคยมีการเปรียบเทียบโดยอิงข้างมูลที่มีการรวบรวมมาอย่างเป็นระบบ เมื่อได้มีการศึกษาเพิ่มเติมและเปรียบเทียบข้อมูลก็พบว่า ชื่อ “อยุธยา” ได้ปรากฏในทำเนียบ ๑๖ เมืองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์ และเรื่องนี้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งเมื่อไม่นานนี่เอง

การศึกษาเปรียบเทียบเป็นแบบเดียวกันกับมหานครนิวยอร์กในศตวรรษที่ ๒๐ กรุงลอนดอนในทศวรรษที่ ๑๙๐๐ และย้อนหลังไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบุล) เมื่อก่อนคริสต์ศักราช ๖๐๐ ปี หรือเมืองเจริโค (Jericho) เมื่อ ๗,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดยุคหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม หรือการค้า แต่ละเมืองล้วนสิ้นสุดยุคแห่งความยิ่งใหญ่ต่างกันไป บางแห่งถูกเมืองอื่นๆ ร่วมยุคเดียวกันแซงหน้าในด้านความใหญ่โต และจำนวนประชากร และบางแห่งสิ้นสุดลงเพราะถูกทำลาย…

ภายใต้การศึกษา และเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดแบบ “ละเอียดที่สุด” ตั้งแต่เรื่องการผลิต และจ่ายแจกอาหารในหมู่ประชากร รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตในอุบัติภัยร้ายแรงต่างๆ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ด้วยประชากรราว๑,๐๐๐,๐๐๐ คน

ช่วง ๔๐๐ปีของกรุงศรีอยุธยานั้น นักการทูตชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีด้วยได้เคยบันทึกเอาไว้ว่า เป็นเมืองที่สวยงาม .. แต่น่าเสียดายที่ถูกพม่าโจมตี และเผาทำลายราบในปี ค.ศ.๑๗๖๗ (พ.ศ.๒๓๑๐) และศูนย์กลางของราชอาณาจักรใหม่ได้ย้ายลงไปยังกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน.

 

เรือไทยโบราณ

 ภาพวาดของชาวตะวันตกที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีเมื่อ ๓๐๐ ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นวัดวาอาราม ปราสาทราชวังและกิจกรรมในแม่น้ำเจ้าพระยา นักการทูตฝรั่งเศสบันทึกเอาไว้ว่า “อูเดีย” เป็นเมืองที่สวยงาม.. นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่พบว่า เมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามแห่งนี้เคยมีประชากรถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ใหญ่โตที่สุดในยุคสมัยนั้น.

พระนารายณ์


รถม้าสะท้อนความเป็นตะวันตก ขบวนช้างบ่งบอกความเป็นตะวันออก กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นแหล่ง รวม ระหว่างอารยธรรมตะวันตกกับตะวันออก หลายอาณาจักรมุ่งไปยังที่นั่นเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและประกอบการค้าขาย ในยุคที่อยุธยาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนประชากรถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน.

 

 

แผนที่ประเทศไทยโบราณ

แผนที่ฝรั่งเศสปีพ.ศ.๒๒๒๙แสดงอาณาเขตของอาณาจักรสยาม พุกาม เขมร ลาว โคชินจีนกับแคว้นตังเกี๋ย ทั้งหมดเป็นแว่นแคว้นในสายตาของชาวตะวันตกที่เดินทางเข้าสู่ภูมิภาคในยุคนี้ นั่นคือช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคทองของ “อูเดีย” มีแผนที่แบบเดียวกันนี้อีกจำนวนมาก ที่สะท้อนความรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยาในยุคหนึ่งซึ่งกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งยุค.

 

ประวัติศาสตร์ไทย

       ชาวตะวันตกซึ่งเป็นนักวาดเขียนสะท้อนชีวิตความเป็นไปกับความประทับใจเอาไว้มากมาย เมื่อได้ไปเยือนกรุงศรีอยุธยาใน ๓-๔ ศตวรรษก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ ๒ กลุ่มได้ศึกษาและยกให้อยุธยาเป็นหนึ่งใน ๑๖เมืองใหญ่ของโลก เป็นแหล่งอารยธรรมตะวันออกที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ๕,๐๐๐ปีของมวลมนุษย์.

 

พระนารายณ์

               ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งเจ้าพระยาโกษาปาน อัญเชิญพระราชสาสน์จากกรุงศรีอยุธยาไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่พระราชวังแวร์ซายส์ในกรุงปารีส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักร ในยุคทองของ “อูเดีย” ที่มีประชากรถึง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่๒ กลุ่มศึกษาและได้ข้อมูลตรงกัน ในยุคสมัยหนึ่งอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก.

ภาพเขียนของชาวฝรั่งเศส บอกเล่าเหตุการณ์ครั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนำพระราชสาสน์จากกรุงปารีสไปทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีภาพดีๆ เช่นนี้อีกจำนวนมาก ในขณะที่หลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยถูกทำลายหรือสูญหายไปในเหตุการณ์ “เสียกรุง” แต่นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันในยุคใหม่ ๒ กลุ่มทำการศึกษาและได้ข้อมูลตรงกันว่า กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในยุคหนึ่ง.

พระunseen

ภาพจากเว็บไซต์องค์การยูเนสโกที่ขึ้นทะเบียนกรุงเก่าเป็นมรดกโลกหลายปีก่อน เศียรพระพุทธรูปที่จมอยู่ในโคนต้นไทร สะท้อนการล่มสลายอันขมขื่นของกรุงศรีอยุธยาในปี ๒๓๑๐ ที่นี่เคยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคหนึ่ง เป็นอีกแห่งหนึ่งที่แตกดับลงจากการศึก หลายแห่งล่มสลายไปกับภัยธรรมชาติ บางแห่งพังทลายลงเพราะไม่อาจผลิตอาหารให้พอเลี้ยงดูประชากรได้.



 ในยุคที่เราเสียกรุงครั้งที่๑ ให้กับพม่าสาเหตุก็เพราะคนไทยแตกความสามัคคีกัน จนทำให้ประชาชนอยู่ด้วยความยากลำบาก และผู้ที่กอบกู้เอกราชให้เราในครั้งนั้นคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงใช้ชีวิตตลอดพระชนม์ชีพอยู่กับศึกสงคราม ให้ประชาชนได้เป็นอิสระและอยู่ร่มเย็นไม่มีใครมารุกราน และด้วยพระบารมีของพระองค์แม้หลังที่สมเด็จพระนเรศวรสิ้นพระชนม์ประเทศไทยก็ไม่มีใครกล้ารุกรานยาวนานถึง๑๕๐ปี ส่งผลให้ประเทศไทยรุ่งเรืองทั้งทางด้านการเมืองและการค้าระหว่างประเทศต่างประเทศ การเจริญสัมพันธไมตรีของกษัตริย์กับต่างประเทศส่งผลต่อการค้าของไทยมาถึงปัจจุบัน  ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขมีการขยายพื้นอย่างกว้างใหญ่ไพศาล จนกรุงศรีอยุธยาติดอันดับเมืองใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก

แหล่งที่มา :พันทิปดอทคอม

                    :ASTVผู้จัดการออนไลน์

                    :http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_largest_cities_throughout_history



บรรณานุกรมเว็บไซต์

หน้าแรก

Posted in เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยประวัติศาสตร์ไทย.

Leave a Reply

Your email address will not be published.