ที่มาแห่งบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” บทเพลงที่ประชาชนคนไทยคงได้เคยรับฟังแล้ว จะมีสักกี่คนที่ทราบที่มา และความหมายของ บทพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด”
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ได้ทรงเสด็จไปในพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปีมา สำหรับปี พ.ศ.๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จไปที่ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จมาตั้งค่ายพักแรม ณ ค่ายนี้ ก่อนที่จะยกทัพเข้าไปตีเมืองหางในเขตประเทศพม่า ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆอยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจากจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จกลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ในตอนกลางคืนนั้นก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จมาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจากพระวรกาย และฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึก ก็ทรงทราบว่า คือ องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระราชดำรัสแก่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติ ณ ที่ใด และที่ปรากฏมาในพระสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อว่า ทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ท่าน ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทย ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้ว เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน นี้ จักเป็นผู้นำให้ชาติไทย และประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตการณ์นี้ไปได้อย่างแน่นอน และพระองค์ท่าน จะเสด็จติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป
และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับ”การทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”และเขาเหล่านั้น พร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย ทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจ เพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
พระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ตรัสว่า พระองค์ทรงสดุ้งพระองค์ตื่นจากพระบรรทม แล้วทรงประทับนั่ง ก็ยังทรงทอด พระเนตร องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ทรงปรากฏพระองค์ ให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นอยู่ชั่วครู่ ก็เสด็จหายไป เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ถวายบังคมแล้ว!!!
และจากพระสุบินนิมิตนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พระราชทานบทพระราชนิพนธ์เพลงนี้ พิมพ์แจกพระราชทานแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติไทยโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯให้ คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่บรรดาข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร เป็นครั้งแรก ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ในปีต่อมา และจากนี้เอง เพลงพระราชนิพนธ์นี้ ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และได้นำมาใช้เป็นบทเพลงของลูกเสือชาวบ้านมาจนถึงบัดนี้…….
(จากนิตยสารทีวีที ๕ ฉบับประจำเดือน ธันวาคม ๒๕๑๘ ขอนแก่นและ วิญญาณ ชุดที่ ๑๒ ประจำเดือน มกราคม-ธันวาคม ๒๕๑๙)
บทเพลงพระราชนิพนธ์ :: ความฝันอันสูงสุด
๐ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง “จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”
๐ ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป…..
นี่คือ”ปณิธาน”ที่หาญมุ่ง- หมาย”ผดุงยุติธรรม์”อันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจ”รักชาติ”องอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน!!!
“คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย”
ทางทีมงาน Pimpatchara.com จะขอเป็นส่วนหนึ่ง
ในการแสดงความจงรักภักดี ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อแทน
พระคุณต่อแผ่นดินที่ข้าพเจ้ารัก ตราบเท่าชีวาจะหาไม่